ถ้าพูดถึง Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศไทยเรา ทุกคนจะนึกถึงอะไรกันบ้างคะ อาหาร, มวยไทย, รถตุ๊กตุ๊ก หรือในปัจจุบันเองก็มีศิลปิน และซีรีส์ Boys Love / Girls Love ที่บ้านเราผลิตออกมาแล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากไม่แพ้สื่อชนิดอื่น แต่ถ้าพูดถึงสื่อเป็นศาสตร์และศิลป์แบบดั้งเดิมที่ถูกส่องต่อกันมาอย่างยาวนานร่วมร้อยปี ก็คงไม่พ้น ‘นาฏยศิลป์’ เช่น ฟ้อน รำ ระบำ โขน แต่ละท้องถิ่นจะมีชื่อเรียกและมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป
“โขน” ถือเป็นหนึ่งในศิลปะชั้นสูงของแผ่นดินไทย จากการแสดงในราชสำนักที่ผสานศาสตร์หลายแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งนาฏศิลป์ ดนตรี จิตรกรรม และวรรณคดี สู่การยืนหยัดในฐานะ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ที่องค์การยูเนสโกยกย่องเมื่อปี พ.ศ. 2561✨ และยังเติบโตต่อเนื่องในสังคมไทยร่วมสมัย โขนเป็นอีกศิลปะที่ได้รับการสืบสานในรูปแบบ “โขนพระราชทาน” เป็นทั้งมรดกและแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้ภาคภูมิใจในรากเหง้าความเป็นไทย
วันนี้แสนสิริ จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘โขน’ ด้วยกันให้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ทั้งพัฒนาการของโขนในรัชกาลต่างๆ แบบย่อให้เห็นภาพรวม ทำให้เห็นองค์ประกอบของโขนพร้อมทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ร่วมสมัย ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติที่ต้องสืบสานต่อไป นาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยยังคงงดงามเพราะคนไทยช่วยกันรักษา เรียนรู้ และสืบสานต่อ ศาสตร์และศิลป์ในงานต่าง ๆ คือรากฐานของความเป็นไทย และ “โขน” นับเป็นศิลปะที่สะท้อนความงามในความตั้งใจของคนไทยได้อย่างลึกซึ้งที่สุดอีกหนึ่งชิ้น จะมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!

พัฒนาการของ ‘โขนไทย’ ในฐานะศิลปะประจำชาติ
โขนในประเทศไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตามหลักฐานจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ราชทูตฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราชสำนักและตามบ้านขุนนางชั้นสูงมีการฝึกหัดการแสดงโขน เพื่อใช้แสดงใน ‘งานมหรสพหลวง’ และพิธีต่างๆ สำหรับสร้างความบันเทิง และเป็นสื่อเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกคติธรรมต่างๆ สู่ผู้ชม ผ่านการแสดงของตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์ของ ความดี ความชั่ว ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ฯลฯ ต่อมาจึงเผยแพร่สู่ประชาชน เกิดคณะโขนพื้นบ้านหลายคณะ และมีการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา
เข้าสู่ยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงสนับสนุนการฝึกหัดโขนในราชสำนัก หรือวังของเจ้านายต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องแสดงพระเกียรติยศและพระบารมี ทำให้ศิลปะการแสดงโขน การฝึกหัดโขน ได้แพร่หลายเป็นต้นแบบถึงปัจจุบัน ทั้งนี้พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ไว้เป็นต้นฉบับสำหรับพระนคร
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งในปัจจุบันกรมศิลปากรนิยมนำมาเรียบเรียงหรือจัดทำเป็นบทการแสดงโขน ทรงสนับสนุนการแสดงโขนของราชสำนักและวังของเจ้านาย
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงโขนในพระราชพิธีสำคัญ ตามโบราณราชประเพณี อีกทั้งการแสดงที่เป็นงานของราษฎรในปลายรัชสมัยนี้มีการฝึกหัดโขนของมหาดเล็ก เรียกว่า “โขนสมัครเล่น”
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดให้ตั้ง “กรมมหรสพ” เพื่อโอนงานที่เกี่ยวกับมหรสพต่างๆ ให้เป็นหน่วยงานของราชการ นอกจากนี้ ทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์และบทร้องเรื่องรามเกียรติ์ ดำเนินเรื่องตามคัมภีร์ รามายณะของฤษีวาลมิกิ และทรงเป็นผู้จัดการแสดง บอกบทพากย์เจรจา กำกับการแสดงโขนด้วยพระองค์เอง ทรงให้ความสำคัญจนทำให้ศิลปะแขนงนี้มีความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) การอนุรักษ์โขนเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และในปี พ.ศ. 2550 จึงมีการแสดงโขนโดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อย่างเป็นทางการครั้งแรกในตอน “พรหมมาศ” เป็นที่มาของคำว่า “โขนพระราชทาน” และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี มีกระแสนิยมล้นหลามทั้งคนรุ่นใหญ่และคนรุ่นใหม่
ปัจจุบัน องค์กรที่ทำหน้าที่ในการสืบสานศิลปะการแสดงโขนได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ กรมศิลปากร และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ต่อมา โขน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำปีพุทธศักราช 2552 และในปี 2561 โขนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ว่าเป็น ‘มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ’
ที่มาจาก โขนวิทยา: ศาสตร์ ศิลป์ ถิ่นสยาม โดย ประวิทย์ ฤทธิบูลย์

องค์ประกอบ ‘โขน’ แหล่งรวมศาสตร์และศิลป์ของไทย
การแต่งกาย จะมีลักษณะการแต่งกายที่เรียกว่า “ยืนเครื่อง” ต่อมาการแต่งกายโขนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีวิวัฒนาการการแต่งกายยืนเครื่องจากแบบดั้งเดิม มาเป็นเครื่องแต่งกายแบบ พระราชประดิษฐ์ เพื่อให้เห็นภาพลักษณ์แท้จริงของตัวละครได้ชัดเจน ต่อมาพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชเสาวนีย์เรื่อง การแต่งหน้าโขน และ เครื่องแต่งกายโขน ให้ ‘กรมศิลปากร’ ค้นคว้าและพัฒนาเครื่องแต่งกายโขนให้ถูกต้องคงความงดงามตามแบบโบราณ
เนื้อเรื่อง เรื่องที่ใช้แสดงโขนนั้น นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์เพียงเรื่องเดียว เพราะเนื้อเรื่องมีความเกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์โดยแสดงถึงบุญญาภินิหารและการปราบอริราชศัตรู เพื่อความสงบสุขของอาณาประชาราษฎร์ นอกจากนั้นเป็นเรื่องและตัวแสดงที่ไทยเราแต่งเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด โดยใช้บรรยากาศ สถานที่ ขนบธรรมเนียมประเพณี มาปรับปรุงขึ้นใหม่โดยสอดแทรกคตินิยมแบบไทย ดังนั้นเรื่องรามเกียรติ์ของไทย จึงมีเนื้อเรื่องพิสดารกว่าเรื่องรามายณะของอินเดีย
ดนตรีและเพลงร้อง ดนตรีที่ใช้บรรเลง นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ตามโอกาสและความเหมาะสม ส่วนเพลงร้อง บทพากย์ เจรจาโขนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ ดังนั้นผู้พากย์และเจรจาจึงมีความรู้ความสามารถที่กว้างขวาง มีโวหารการใช้สำนวน และการมีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงที่ดี ดังนั้นผู้ชมจึงได้รับสุนทรียะของศิลปะหลายด้าน
วิธีการแสดงโขน ต้องมีบทพากย์โขนที่ดี ความไพเราะของการพากย์ เจรจา การขับร้อง และดนตรี ความเข้มแข็ง และความพร้อมเพรียงในการเต้นของผู้แสดง ความงดงามอ่อนช้อยและการสื่อความหมายของท่ารำ ความว่องไวสนุกสนานในการต่อสู้ และความตลกขบขันที่แทรกอยู่ในการแสดงโขนบางตอน และตลอดจนความวิจิตรงดงามของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง นับได้ว่าเป็นการรวมเอาศาสตร์และศิลป์หลายแขนงมาไว้ในการแสดง
โอกาสในการแสดงโขน โอกาสที่แสดงโขนสามารถแสดงได้ทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมหรสพบูชา เป็นมหกรรมสมโภช หรือเป็นมหรสพทั่วไป
ที่มาจาก โขนวิทยา: ศาสตร์ ศิลป์ ถิ่นสยาม โดย ประวิทย์ ฤทธิบูลย์ และ Sarakadee Lite

ขนพระราชทานแห่งความภูมิใจ ทำไมเป็นโขนที่คนไทยควรดูสักครั้ง
โขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือ โขนพระราชทาน หรือ โขนศิลปาชีพฯ เริ่มทำการแสดงครั้งแรกใน พ.ศ. 2550 แตกต่างด้วยการดำเนินเรื่องกระชับฉับไว แต่ก็แตกต่างจากโขนพื้นบ้านที่มีอุปกรณ์ประกอบฉาก แสง สี เสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ และเต็มไปด้วยฉากสู้รบที่เร้าใจและคลุกเคล้าความสนุกด้วยมุกตลกที่พอเหมาะ จึงเป็นโขนที่ร่วมสมัยเหมาะสมกับผู้ชมทุกเพศทุกวัย แต่ยังคงสืบสานความวิจิตรของศิลปวัฒนธรรมไทยตามขนบโขนโบราณทั้งในด้านวรรณศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ และวิจิตรศิลป์
ที่สำคัญกว่านั้น คือการสืบสานด้านวรรณศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ และวิจิตรศิลป์ รวมถึงการฟื้นคืนหัตถศิลป์โบราณอีกหลายแขนงที่เกี่ยวเนื่องกับโขนที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ทั้งผู้ทำหัวโขน ช่างปัก ช่างเย็บเครื่อง ยกดอก ช่างเขียนลาย ไปจนถึงนักพากย์ นักขับร้อง และครูระบำ ครูโขน
ทั้งยังมีการแต่งหน้าโขนขึ้นใหม่ เน้นค้นคว้าจากจิตรกรรมโบราณผนวกกับศิลปะการแต่งหน้าสมัยใหม่จนเกิด “การแต่งหน้าสำหรับโขน” โดยเฉพาะเพื่อขับความเป็นไทยให้ออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรียกการแต่งหน้าโขนประเภทนี้ว่า “แนวพระราชนิยม”
นอกจากความอลังการของฉากยกรบ หรือความวิจิตรของชุดโขนแล้ว สิ่งที่หลายคนรอคอยกันนั่นก็คือ ฉากอลังการและน่าตื่นเต้น อันเป็นเอกลักษณ์ของโขนพระราชทาน ที่สร้างขึ้นด้วยเทคนิคอันทันสมัย ทำให้ฉากแต่ละฉากมีความอลังการและความน่าตื่นเต้น เช่น หนุมานขยายกายยาว 15 เมตรที่ขยายกายได้จริง รวมทั้งจิตรกรรมประกอบฉากยาวราว 20 เมตร ที่วาดขึ้นใหม่ในทุกปี
ที่มาจาก Sarakadee Lite

โขนแสดงของโขนศิลปาชีพ ฟื้นคืนชีวิตศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย
“ชุด ศึกอินทรชิต ตอน พรหมาศ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2550/ 2552 / 2558 เรื่องราวของอินทรชิตชุบศรพรหมาศและแปลงกายเป็นพระอินทร์ เพื่อให้กองทัพพระลักษมณ์หลงใหลในความงาม อินทรชิตได้ทีจึงแผลงศรพรหมาศต้องพระลักษมณ์และไพร่พลลิงสลบไป พระรามทราบจึงมาช่วย เมื่อพระพายพัดต้องกายหนุมานจึงฟื้น หนุมานได้ออกไปนำสรรพยามาแก้ศร กองทัพจึงกลับฟื้นขึ้นมา ตอนพรหมาศให้ข้อคิดเด่นในเรื่องการหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนทำให้เกิดความหายนะกับตนเองและคนรอบข้าง
“นางลอย” จัดแสดงปี พ.ศ. 2553 เรื่องราวของตอนที่ทศกัณฐ์สั่งให้นางเบญกายแปลงกายเป็นนางสีดา ทำทีตายลอยน้ำไปหน้าพลับพลาที่ประทับของพระราม เพื่อลวงให้พระรามเข้าใจผิดว่านางสีดาตาย จะได้ยกทัพกลับไป เมื่อพระรามเห็นนางสีดาแปลงลอยตามน้ำมาก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่หนุมานมีสติเกิดเฉลียวใจว่านางสีดาอาจเป็นยักษ์แปลงมา จึงขอนำศพมาเผาไฟ เบญกายเมื่อโดนไฟก็ทนไม่ได้ เหาะขึ้นไปบนอากาศ หนุมานจึงตามไปจับตัวมาถวายพระราม
“ศึกมัยราพณ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2554 เรื่องราวของ มัยราพณ์เป็นยักษ์เจ้าเมืองบาดาลย่องไปสะกดทัพพระรามให้หลับใหล และแบกพระรามแทรกแผ่นดินมายังเมืองบาดาล หนุมานตามมาช่วยและได้พบกับมัจฉานุ บุตรชายที่เกิดกับนางสุพรรณมัจฉา จึงได้ขอร้องให้บอกทางไปเมืองบาดาล มัจฉานสำนึกในบุญคุณของมัยราพณ์ที่เลี้ยงดูมาจึงเลี่ยงบอกทางโดยอ้อม หนุมานช่วยพระรามกลับมายังพลับพลาได้
“จองถนน” จัดแสดงปี พ.ศ. 2555 เรื่องราวของ พระรามจองถนนเพื่อเดินทางไปยังกรุงลงกา จึงสั่งให้นิลพัทและหนุมานคุมพลลิงผลัดกันรับส่งหินไปถมลงมหาสมุทร หนุมานและนิลพัทเกิดวิวาทกัน พระรามตัดสินให้ทั้งสองมีความผิด ทศกัณฐ์ให้นางสุพรรณมัจฉาพาบริวารมาทำลายการจองถนน หนุมานเห็นผิดปกติจึงดำน้ำลงไปสำรวจและได้นางสุพรรณมัจฉาเป็นชายา จากนั้นจึงขอให้นางและบริวารนำหินไปไว้ที่เดิม การจองถนนจึงสำเร็จลุล่วง
“ชุด ศึกกุมภกรรณ ตอน โมกขศักดิ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2556 เรื่องราวของ กุมภกรรณเป็นยักษ์ที่มีธรรมะแต่จำใจต้องออกรบ จึงประกอบพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ หนุมานและองคตแปลงเป็นหมาเน่าและอีกาลอยน้ำเพื่อไปทำลายพิธี กุมภกรรณออกรบกับพระลักษมณ์ พระลักษมณ์เสียทีถูกหอกปักอกจนหมดสติ หนุมานจึงต้องไปเก็บสรรพยาเพื่อแก้หอกโมกขศักดิ์ได้สำเร็จ ตอนหอกโมกขศักดิ์มีคติสอนใจในเรื่องคุณธรรมของกุมภกรรณ ถึงจะเป็นยักษ์แต่มีความซื่อสัตย์รักษาไว้ซึ่งสัจจะ สุจริต และยุติธรรม
“พิเภกสวามิภักดิ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2561 เรื่องราวของ เหตุการณ์หลังพิเภกทำนายฝันของทศกัณฐ์ และแนะนำให้คืนนางสีดา ทศกัณฐ์จึงโกรธและขับไล่พิเภกออกจากลงกา พิเภกหนีออกมาและพบกับนิลเอกทหารเอกของพระราม จึงยอมให้จับตัวและนำเข้าเฝ้าพระราม พระรามพอพระทัยในความสวามิภักดิ์ จึงให้พิเภกดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และสวมมงกุฎพระราชทานให้เป็นราชา
“สืบมรรคา” จัดแสดงปี พ.ศ. 2562 รื่องราวของ การเดินทางของหนุมานในการหาหนทางไปกรุงลงกาตามคำสั่งของพระราม โดยมีด่านสำคัญเป็นด่านแม่น้ำที่หนุมานต้องเนรมิตกายทอดเป็นสะพานให้เหล่าวานรข้ามไป การต่อกรของหนุมานกับนางผีเสื้อสมุทรที่หนุมานเหาะเข้าปากเพื่อผ่าท้องออกมา การรบกับนางยักษ์อากาศตไลซึ่งรักษาด่านอากาศ ไปจนถึงการวางอุบายให้ตัวถูกจับไปลานประหารเพื่อวางอุบายเผากรุงลงกา ซึ่งหนุมานต้องใช้วิชาความสามารถและปัญญาเอาชนะยักษ์เหล่านี้ จนสามารถแฝงตัวเข้าไปในกรุงลงกาเพื่อปฏิบัติภารกิจ
“สะกดทัพ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2565 เรื่องราวของ พระรามใช้ให้หนุมาน องคต และชมพูพาน ไปสืบเส้นทางที่จะข้ามไปกรุงลงกา กระทั่งได้พบกับนางสีดาซึ่งพำนักอยู่ในสวนขวัญ พร้อมถวายแหวนและผ้าสไบเพื่อเป็นการแจ้งข่าวว่าพระรามกำลังติดตามมา ก่อนกลับหนุมานได้ทำลายสวนขวัญและถูกอินทรชิตจับตัวไปถวายทศกัณฐ์ แต่หนุมานก็ใช้เล่ห์กลจุดไฟเผาตนเองและเผากรุงลงกา พระรามจึงได้เสด็จยาตราทัพจองถนนยกพลวานรข้ามมหาสมุทรมาประชิดกรุงลงกาที่เชิงเขามรกต ให้องคตเป็นทูตเชิญสารไปถึงทศกัณฐ์ขอให้ส่งนางสีดาคืน ทศกัณฐ์ไม่ยอมส่งคืนจึงคิดอุบายเผด็จศึกและหาทางกำจัดพระราม
“กุมภกรรณทดน้ำ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2566 เรื่องราวของ กุมภกรรณ อาสารบกับกองทัพของพระราม โดยคิดอุบายตัดศึกด้วยการเนรมิตกายให้ใหญ่โตเท่ากับภูเขา แล้วนอนขวางทางน้ำไม่ให้ไหลไปยังเขาวงกต เหล่าไพร่พลของพระรามจะได้อดน้ำตายภายใน 7 วัน แต่เมื่อพระรามรู้อุบาย จึงมอบให้หนุมานไปทำลายพิธีทดน้ำของกุมภกรรณนั้น และต่อสู้กับกุมภกรรณจนชนะ
“พระจักราวัตร” จัดแสดงปี พ.ศ. 2567 เรื่องราวของ พระจักราหรือพระนารายณ์ ที่อวตารลงมาเป็นพระราม เพื่อปราบปรามฝ่ายอธรรมโดยมีเนื้อหาหลักคือ ทศกัณฐ์ใช้มารีศแปลงเป็นกวางทองล่อลวงพระรามจนออกติดตาม แล้วลักพานางสีดาหนีไปยังกรุงลงกา เป็นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างกองทัพพระรามและทศกัณฐ์
“สัตยาพาลี” จัดแสดงปี พ.ศ. 2568 เรื่องราวของ ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หมายทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทรพีบุตรทรพาโอหังขาดความกตัญญูจนถูกพาลีฆ่าตายในถ้ำ และทำให้พาลีกับสุครีพน้องชายเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีต้องยอมมรณภาพโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ ชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ
รูป
ตอนแสดงของโขนศิลปาชีพ ฟื้นคืนชีวิตศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย
“ชุด ศึกอินทรชิต ตอน พรหมาศ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2550/ 2552 / 2558 เรื่องราวของอินทรชิตชุบศรพรหมาศและแปลงกายเป็นพระอินทร์ เพื่อให้กองทัพพระลักษมณ์หลงใหลในความงาม อินทรชิตได้ทีจึงแผลงศรพรหมาศต้องพระลักษมณ์และไพร่พลลิงสลบไป พระรามทราบจึงมาช่วย เมื่อพระพายพัดต้องกายหนุมานจึงฟื้น หนุมานได้ออกไปนำสรรพยามาแก้ศร กองทัพจึงกลับฟื้นขึ้นมา ตอนพรหมาศให้ข้อคิดเด่นในเรื่องการหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนทำให้เกิดความหายนะกับตนเองและคนรอบข้าง
“นางลอย” จัดแสดงปี พ.ศ. 2553 เรื่องราวของตอนที่ทศกัณฐ์สั่งให้นางเบญกายแปลงกายเป็นนางสีดา ทำทีตายลอยน้ำไปหน้าพลับพลาที่ประทับของพระราม เพื่อลวงให้พระรามเข้าใจผิดว่านางสีดาตาย จะได้ยกทัพกลับไป เมื่อพระรามเห็นนางสีดาแปลงลอยตามน้ำมาก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่หนุมานมีสติเกิดเฉลียวใจว่านางสีดาอาจเป็นยักษ์แปลงมา จึงขอนำศพมาเผาไฟ เบญกายเมื่อโดนไฟก็ทนไม่ได้ เหาะขึ้นไปบนอากาศ หนุมานจึงตามไปจับตัวมาถวายพระราม
“ศึกมัยราพณ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2554 เรื่องราวของ มัยราพณ์เป็นยักษ์เจ้าเมืองบาดาลย่องไปสะกดทัพพระรามให้หลับใหล และแบกพระรามแทรกแผ่นดินมายังเมืองบาดาล หนุมานตามมาช่วยและได้พบกับมัจฉานุ บุตรชายที่เกิดกับนางสุพรรณมัจฉา จึงได้ขอร้องให้บอกทางไปเมืองบาดาล มัจฉานสำนึกในบุญคุณของมัยราพณ์ที่เลี้ยงดูมาจึงเลี่ยงบอกทางโดยอ้อม หนุมานช่วยพระรามกลับมายังพลับพลาได้
“จองถนน” จัดแสดงปี พ.ศ. 2555 เรื่องราวของ พระรามจองถนนเพื่อเดินทางไปยังกรุงลงกา จึงสั่งให้นิลพัทและหนุมานคุมพลลิงผลัดกันรับส่งหินไปถมลงมหาสมุทร หนุมานและนิลพัทเกิดวิวาทกัน พระรามตัดสินให้ทั้งสองมีความผิด ทศกัณฐ์ให้นางสุพรรณมัจฉาพาบริวารมาทำลายการจองถนน หนุมานเห็นผิดปกติจึงดำน้ำลงไปสำรวจและได้นางสุพรรณมัจฉาเป็นชายา จากนั้นจึงขอให้นางและบริวารนำหินไปไว้ที่เดิม การจองถนนจึงสำเร็จลุล่วง
“ชุด ศึกกุมภกรรณ ตอน โมกขศักดิ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2556 เรื่องราวของ กุมภกรรณเป็นยักษ์ที่มีธรรมะแต่จำใจต้องออกรบ จึงประกอบพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ หนุมานและองคตแปลงเป็นหมาเน่าและอีกาลอยน้ำเพื่อไปทำลายพิธี กุมภกรรณออกรบกับพระลักษมณ์ พระลักษมณ์เสียทีถูกหอกปักอกจนหมดสติ หนุมานจึงต้องไปเก็บสรรพยาเพื่อแก้หอกโมกขศักดิ์ได้สำเร็จ ตอนหอกโมกขศักดิ์มีคติสอนใจในเรื่องคุณธรรมของกุมภกรรณ ถึงจะเป็นยักษ์แต่มีความซื่อสัตย์รักษาไว้ซึ่งสัจจะ สุจริต และยุติธรรม
“พิเภกสวามิภักดิ์” จัดแสดงปี พ.ศ. 2561 เรื่องราวของ เหตุการณ์หลังพิเภกทำนายฝันของทศกัณฐ์ และแนะนำให้คืนนางสีดา ทศกัณฐ์จึงโกรธและขับไล่พิเภกออกจากลงกา พิเภกหนีออกมาและพบกับนิลเอกทหารเอกของพระราม จึงยอมให้จับตัวและนำเข้าเฝ้าพระราม พระรามพอพระทัยในความสวามิภักดิ์ จึงให้พิเภกดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และสวมมงกุฎพระราชทานให้เป็นราชา
“สืบมรรคา” จัดแสดงปี พ.ศ. 2562 รื่องราวของ การเดินทางของหนุมานในการหาหนทางไปกรุงลงกาตามคำสั่งของพระราม โดยมีด่านสำคัญเป็นด่านแม่น้ำที่หนุมานต้องเนรมิตกายทอดเป็นสะพานให้เหล่าวานรข้ามไป การต่อกรของหนุมานกับนางผีเสื้อสมุทรที่หนุมานเหาะเข้าปากเพื่อผ่าท้องออกมา การรบกับนางยักษ์อากาศตไลซึ่งรักษาด่านอากาศ ไปจนถึงการวางอุบายให้ตัวถูกจับไปลานประหารเพื่อวางอุบายเผากรุงลงกา ซึ่งหนุมานต้องใช้วิชาความสามารถและปัญญาเอาชนะยักษ์เหล่านี้ จนสามารถแฝงตัวเข้าไปในกรุงลงกาเพื่อปฏิบัติภารกิจ
“สะกดทัพ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2565 เรื่องราวของ พระรามใช้ให้หนุมาน องคต และชมพูพาน ไปสืบเส้นทางที่จะข้ามไปกรุงลงกา กระทั่งได้พบกับนางสีดาซึ่งพำนักอยู่ในสวนขวัญ พร้อมถวายแหวนและผ้าสไบเพื่อเป็นการแจ้งข่าวว่าพระรามกำลังติดตามมา ก่อนกลับหนุมานได้ทำลายสวนขวัญและถูกอินทรชิตจับตัวไปถวายทศกัณฐ์ แต่หนุมานก็ใช้เล่ห์กลจุดไฟเผาตนเองและเผากรุงลงกา พระรามจึงได้เสด็จยาตราทัพจองถนนยกพลวานรข้ามมหาสมุทรมาประชิดกรุงลงกาที่เชิงเขามรกต ให้องคตเป็นทูตเชิญสารไปถึงทศกัณฐ์ขอให้ส่งนางสีดาคืน ทศกัณฐ์ไม่ยอมส่งคืนจึงคิดอุบายเผด็จศึกและหาทางกำจัดพระราม
“กุมภกรรณทดน้ำ” จัดแสดงปี พ.ศ. 2566 เรื่องราวของ กุมภกรรณ อาสารบกับกองทัพของพระราม โดยคิดอุบายตัดศึกด้วยการเนรมิตกายให้ใหญ่โตเท่ากับภูเขา แล้วนอนขวางทางน้ำไม่ให้ไหลไปยังเขาวงกต เหล่าไพร่พลของพระรามจะได้อดน้ำตายภายใน 7 วัน แต่เมื่อพระรามรู้อุบาย จึงมอบให้หนุมานไปทำลายพิธีทดน้ำของกุมภกรรณนั้น และต่อสู้กับกุมภกรรณจนชนะ
“พระจักราวัตร” จัดแสดงปี พ.ศ. 2567 เรื่องราวของ พระจักราหรือพระนารายณ์ ที่อวตารลงมาเป็นพระราม เพื่อปราบปรามฝ่ายอธรรมโดยมีเนื้อหาหลักคือ ทศกัณฐ์ใช้มารีศแปลงเป็นกวางทองล่อลวงพระรามจนออกติดตาม แล้วลักพานางสีดาหนีไปยังกรุงลงกา เป็นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างกองทัพพระรามและทศกัณฐ์
“สัตยาพาลี” จัดแสดงปี พ.ศ. 2568 เรื่องราวของ ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หมายทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทรพีบุตรทรพาโอหังขาดความกตัญญูจนถูกพาลีฆ่าตายในถ้ำ และทำให้พาลีกับสุครีพน้องชายเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีต้องยอมมรณภาพโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ ชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ
ที่มาจาก thaipbs, ชีวจิต, กรุงเทพธุรกิจ, กรมศิลปากร และ ผู้จัดการออนไลน์


